วันที่ 3 สิงหาคม 2566 พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก แถลงผลปฏิบัติการ พลิกถนนล่า รหัสโจรกรรม ทลายขบวนการแก๊งสวมทะเบียนรถยนต์
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทางกรมขนส่งทางบก ได้มาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 2 คน โดยทางขนส่งทางบกได้มีการตรวจพบว่ามีการลักลอบนำ username และ password ของเจ้าหน้าที่เข้าสู่ระบบใช้งานโปรแกรมปรับฐานข้อมูลของผู้ดูแลระบบงานด้านทะเบียนรถยนต์ แล้วนำไปปรับแก้ไขข้อมูลรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ในระบบงานตรวจสภาพรถ และเชื่อมโยงข้อมูลที่มีการปรับแก้แล้วมายังระบบงานทะเบียนรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 65 คัน จึงทำการตรวจสอบย้อนกลับไปปรากฏว่า ผู้ต้องหาใช้ความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่มานานกว่า 20 ปี จดจำรหัสของเจ้าหน้าที่ทุกคน และทำทีขอคัดเล่มทะเบียนรถใหม่แทนฉบับเดิม เพื่อให้ข้อมูลในเล่มทะเบียนรถตรงกับข้อมูลรถคันที่ครอบครอง
ด้าน กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 2 คน คือ นายเสถียร อายุ 38 ปี และ นายศริสร อายุ 44 ปี พร้อมทำการตรวจยึดรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ที่เกี่ยวข้อง และลงพื้นที่ตรวจค้นจำนวน 35 จุดทั่วประเทศ รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 77,350,000 บาท พร้อมทั้งออกหมายเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาสอบปากคำเพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของรถที่ได้ครอบครอง ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ โดยของกลางที่นำมาประกอบการแถลงข่าวในวันนี้ ประกอบไปด้วยรถยนต์หรู 12 คัน รถจักรยานยนต์ 1 คัน เล่มทะเบียน 20 เล่ม รวมทั้งยังมีเครื่องปั้มเพลท 1 เครื่อง
ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้เล่าขั้นตอนการดำเนินการ โดยเข้าไปทำการแก้ไขข้อมูลรายการรถในระบบงานตรวจสภาพรถ และเชื่อมโยงข้อมูลมายังระบบงานทะเบียนรถยนต์ ก่อนจะมาขอคัดเล่มทะเบียนรถใหม่ เพื่อให้ข้อมูลในระบบ MDM ของกรมการขนส่งทางบก ตรงกับข้อมูลรถที่ครอบครอง และข้อมูลในเล่มทะเบียนรถ จากนั้นนำเล่มทะเบียนไปขาย หรือจำนำให้กับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบ หรือลูกค้าที่สะสมรถเก่า รถโบราณ หรือหากมีลูกค้าต้องการจะทำการแก้ไขข้อมูลรถที่ตัวเองครอบครองอยู่ นายศริสร จะเป็นตัวกลางในการติดต่อกับนายเสถียร ให้ดำเนินการแก้ไขข้อมูลตามที่ลูกค้าต้องการ
ในขณะนี้ทางตำรวจไซเบอร์กำลังขยายผลถึงขบวนการทั้งหมด และทำการสอบสวนพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกคน เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีพนักงานกระทำผิด ซึ่งถ้าพบจะดำเนินคดีทางวินัยและอาญาอย่างถึงที่สุด ส่วนลูกค้าที่ซื้อรถไปนั้น ทางตำรวจจะออกหมายเรียกให้มาชี้แจ้งอีกครั้ง
ข่าวโดย วุฒิไกร พิมพ์เงิน ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จังหวัด นนทบุรี